วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558


 
การปลูกมะเขือเปราะ

1.ให้เตรียมดินละเอียดพร้อมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 2:1 และใส่ดินผสมดังกล่าวลงในถาดพลาสติกเพาะกล้า

2.ใช้เศษไม้เล็กๆ (ขนาดเท่าไม้จิ้มผลไม้) กดลงไปในดินที่บรรจุอยู่ในถาดพลาสติกเพาะกล้า ขนาดความลึก 0.5 ซม.

3.นำเมล็ดมะเขือเปราะหยอดลงในหลุมปลูก หลุมละ 1-2 เมล็ด

4.กลบดินผิวหน้าเมล็ดไปจากถาดพลาสติกเพาะกล้าโดยใช้ปูนขาวโรยเป็นเส้นล้อมถาดเพาะไว้

5.หลังเพาะนาน 7-10 วัน มะเขือเปราะเริ่มงอก หมั่นรดน้ำต้นกล้ามะเขือเปราะทุกวันๆ ละ 1-2 ครั้ง ในช่วงเข้าและเย็นจนกระทั่งต้นกล้ามะเขือเปราะมีอายุ 25-30 วัน จึงย้ายกล้ามะเขือเปราะลงปลูกในกระถางหรือในแปลงปลูก

การเตรียมในแปลงหรือในกระถาง

1.ถ้าปลูกในแปลงควรเตรียมดินปลูก โดยใช้จอบขุดย่อยดินหน้าดินลึก 15-20 ซม. และย่อยดินให้ละเอียด ใส่ปุ๋ยคอกหรือใส่ปุ๋ยหมัก หว่านและคลุกเคล้าให้เข้ากับดินในแปลง

2.ในกรณีปลูกในกระถาง ให้ผสมดินปลูกในกระถาง โดยใช้ดินร่วนละเอียดผสมกับปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ในอัตรา 2:1

การดูแลรักษา

1.ย้ายกล้ามะเขือเปราะลงปลูกในแปลง หรือในกระถาง

2.รดน้ำทุกวัน และในช่วงการติดผลต้องระมัดระวังในน้ำอย่างสม่ำเสมอ

3.หลังย้ายปลูกแล้ว 7-10 วัน ให้ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 อัตราต้นละ 1/4 ช้อนชา ควรโรยปุ๋ยห่างโคนต้นประมาณ 2-3 เซนติเมตรและรดน้ำทันที

4.ควรใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราต้นละ 1/4 ช้อนชาทุกๆ 15 วัน

5.หลังย้ายปลูกนาน 45-60 วัน มะเขือเปราะเริ่มทยอยผลผลิต สามารถเก็บผลผลิตไปบริโภคได้

6.หลังจากที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตมะเขือเปราะไปแล้วประมาณ 2 เดือน ควรตัดแต่งกิ่งออกบ้าง เพื่อทำให้ลำต้นมะเขือเปราะเจริญเติบโตแตกกิ่งก้านใหม่ที่มีความแข็งแรง จะให้ผลผลิตรุ่นใหม่ได้อีก และควรทำการตัดแต่งและบำรุงต้นมะเขือเปราะด้วยฮอร์โมนช้อนเงินเช่นนี้ทุกๆ 2-3 เดือน

 





 
  การปลูกมะเขือเทศ

  แปลงปลูกควรไถพรวนและปรับระดับดินให้เรียบสม่ำเสมอกันแล้วยกแปลงให้สูงประมาณ 30 เซนติเมตร กว้าง 100 เซนติเมตร ปลูกเป็นแถวคู่ระยะระหว่างแถว 70 เซนติเมตร ระหว่างต้น 50 เซนติเมตร รองก้นหลุมปลูกด้วยปุ๋ยคอกหนึ่งกระป๋องนมต่อหลุม ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 1 กรัมต่อต้น คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วจึงย้ายกล้าลงหลุมปลูกหลุมละ 1-2 ต้น กลบดินให้เสมอระดับผิวดินอย่าให้เป็นแอ่งหรือเป็นหลุม เพราะจะทำให้น้ำขังและต้นกล้าเน่าตายได้ ถ้าปลูกขณะที่ฤดูฝนยังไม่สิ้นสุด แต่ถ้าปลูกในฤดูหนาวหรือฤดูแล้งควรจะกลบดินให้ต่ำกว่าระดับหลุมเล็กน้อย

 สำหรับการย้ายกล้าลงแปลงปลูกนี้ต้องเลือกต้นกล้าที่มีลักษณะดี มียอดและปราศจากโรคและแมลงรบกวน ถ้าเป็นการย้ายกล้าจากแปลงเพาะหรือแปลงชำมาลงปลูกโดยตรง ควรย้ายปลูกในเวลาที่อากาศไม่ร้อนคือในตอนบ่ายหรือตอนเย็น เมื่อย้ายเสร็จให้รีบรดน้ำตามทันทีจะทำให้กล้าตั้งตัวได้เร็วขึ้น และเปอร์เซ็นต์การตายน้อยลง แต่ถ้าเป็นการย้ายกล้าที่ชำในถุงพลาสติก สามารถย้ายลงแปลงได้ทุกเวลา กล้าจะตั้งตัวได้เร็วและรอดตายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์

 หลังจากย้ายกล้าแล้วรดน้ำกล้าให้ชุ่มทุกเช้า-เย็น เมื่อกล้าตั้งตัวดีแล้ว จึงควรรดน้ำเพียงวันละครั้งในบางแห่งอาจจะให้น้ำแบบเข้าตามร่องแปลงจนชุ่มแล้ว ปล่อยน้ำออก วิธีนี้สามารถจะทำให้มะเขือเทศได้รับน้ำอย่างเต็มที่และอยู่ได้ถึง 7-10 วัน

การให้น้ำ

  มะเขือเทศต้องการน้ำสม่ำเสมอ ตั้งแต่เริ่มปลูกไปจนถึงผลเริ่มแก่ (ผลมีการเปลี่ยนสี) หลังจากนั้นควรลดการให้น้ำลง มิฉะนั้นอาจทำให้ผลแตกได้ การรดน้ำมากเกินไปจะทำให้ดินชื้น ซึ่งทำให้เชื้อราที่ทำให้เกิดโรคเน่าเจริญได้ดี แต่หากมะเขือเทศขาดน้ำ และให้น้ำอย่างกะทันหันก็จะทำให้ผลแตกได้เช่นกัน

 

 
การปลูกตะไคร้

  ปลูกได้โดยการปักชำต้นเหง้า โดยตัดใบออกให้เหลือตอนโคนประมาณหนึ่งคืบ นำมาปักชำไว้สักหนึ่งสัปดาห์ก็จะมีรากงอกออกมา แล้วนำไปลงแปลงดินที่เตรียมไว้ หรืออาจใช้วิธีเอาโคนปักลงไปที่ดินซึ่งเตรียมไว้เลย ให้ห่างประมาณหนึ่งศอก ถ้าปลูกในกระถางใช้วิธีปักโคนลงในกระถางๆละ 2-3 ต้นก็ได้ แล้วหมั่นรดน้ำให้ชุ่มเช้าเย็น ตั้งไว้ให้โดนแดดตลอดวันจะทำให้โตได้เร็ว

  ตะไคร้ชอบดินร่วนซุย เป็นพืชที่ชอบน้ำ ชอบแดด ดูแลรดน้ำเสมอและโดนแดดได้ตลอดวัน เจริญได้ในดินแทบทุกชนิด เวลาจะใช้ก็ให้ตัดที่โคนสุดส่วนรากเลย แล้วถอนออกมาทั้งต้นตามต้องการ ต้องคอยตรวจดูเมื่อตะไคร้มีกอเจริญเติบโตได้เต็มที่แล้ว ต้องถอนทิ้งหรือแยกออกไปปลูกใหม่บ้างหรือเอาไปใช้บ้าง จำนำมาหั่นเป็นฝอยๆ ตากแดดให้แห้งสนิทแล้วแพ็คเก็บไว้ใช้ได้นานๆ เพื่อให้ต้นอ่อนโตขึ้นมาใหม่ ถ้าไม่แยกออกไปต้นจะเล็กและลีบลงเรื่อยๆ และบางที่ก็แคระแกร็น ต้นและกอก็จะโทรม

 
การปลูกผักชี

การเตรียมดิน

  แปลงปลูกอาจเตรียมแบบยกร่องจีน มีคูน้ำล้อมรอบแบบยกร่องธรรมดา หรือปลูกในแปลงนา โดยการไถพรวนแล้วโรยเป็นแถว ผักชีเป็นผักที่มีระบบรากตื้น การเตรียมดินปลูกผักชีก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับการปลูกผักอื่นๆ ทั่วไป โดยขุดหรือไถพลิกดินลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร ตากดินไว้ 5-7 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและวัชพืชต่างๆ แล้วพรวนย่อยดินให้แตกเป็นก้อนเล็ก ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักให้มาก คลุกเคล้าให้เข้ากับดินและปรับหน้าดินให้เสมอ

 

การเตรียมเมล็ดพันธุ์

  ผักชีเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด ดังนั้นก่อนที่จะปลูกต้องเตรียมเมล็ดพันธุ์ให้พร้อม โดยการนำผลมาบดให้แตกเป็นสองซีก แล้วนำไปแช่น้ำประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วเอาขึ้นมาผึ่งลมให้แห้งแล้วเคล้ากับทรายหรือขี้เถ้าทิ้งไว้จนเมล็ดเริ่ม งอกจึงนำไปหว่านในแปลง

 

วิธีการปลูก

  ก่อนปลูกต้องรดน้ำให้ทั่วแปลง นำเมล็ดที่เตรียมไว้มาหว่านลงบนแปลงปลูกที่ได้เตรียมไว้ กลบด้วยดินละเอียดบางๆ แล้วคลุกด้วยฟางหรือหญ้าแห้งอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันต้นอ่อนจากแสงแดดและรักษาความชื้นของผิวดิน หรือจะปลูกโดยใช้วิธีโรยเป็นแถวบนแปลง ให้แต่ละแถวห่างกัน 20-30 เซนติเมตร แล้วทำการถอนแยกให้เหลือระยะระหว่างต้นประมาณ 10-20 เซนติเมตร หลังจากหว่านเสร็จแล้วต้องรดน้ำให้ชุ่ม

 

การปฏิบัติดูแลรักษา

 

  การให้น้ำ ผักชีเป็นผักที่ต้องการน้ำมากแต่ไม่ชอบน้ำขัง ดังนั้น ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น อย่าให้น้ำมากจนโชกเกินไป เพราะผักชีถ้าถูกน้ำหรือฝนมากๆ มักจะเน่าง่าย สำหรับวัชพืชที่ขึ้นในระยะแรกควรรีบกำจัดโดยเร็ว โดยใช้มือถอน อย่าปล่อยให้ลุกลามเพราะวัชพืชเป็นตัวแย่งน้ำและอาหารจากผักชี

 
การปลูกหอมแบ่ง

เริ่มต้นจากการเตรียมดิน

ก่อนที่เราจะเริ่มปลูกเราควรเตรียมดิน อย่างน้อย 1 อาทิตย์ โดยไถพรวนดิน ภายในอาทิตย์นั้นๆ 2 ครั้ง โดย

3 วันไถครั้งหนึ่ง เมื่อเตรียมดินเสร็จแล้วเราก็เริ่มลงมือปลูกเลย

 

สิ่งที่ต้องเตรียม

1.พันธ์หอมแบ่ง

2.ฟางข้าว หรือ แกลบ

3.อุปกรณ์ทำแปลงผัก เช่น จอบ คราด

 

เมื่อเราเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างแล้วเรามาลงมือเลย

 

1.เริ่มจากการไถแปลงขนาดกว้าง 1.5 เมตร ความยาวแล้วแต่ความสะดวกในการรดน้ำ

2.เมื่อไถเสร็จเราก็เริ่มเขี่ยแปลงโดยใช้คราด ให้ดินสม่ำเสมอกัน

3.เมื่อแปลงเรียบดีแล้ว ก็ลงมือ ปักพันธ์ หอมลงในดินเลย ก่อนที่เราจะปักลงเราควรแกะกรีบหอมออกก่อน ระยะห่างระหว่างหัวประมาณ 3x3 ซม

4.เมื่อปักพันธ์หอมเสร็จเราก็นำฟางข้าว หรือ ว่า แกลบ มาคุมแปลง เพื่อดูซับความชื่น ในแปลงผัก

5. หลังจากนั้นเราก็รดน้ำ เช้า-เย็น

6. เมื่อผักเริ่มงอกและลำต้นยาว ประมาณ 3 ซม ระยะนี้จะใช้เวลา 10 วัน ให้เราเริ่มใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 ปุ๋ย ชีวภาพ หรือ เคมีก็ได้ ถ้าเป็นเคมี แนะนำ สูตร 16-8-8 และก็ฉีดฮอร์โมน หรือ EM

7. ควรดูแลวัชพืช ช่วงนี้ด้วย

8.เมื่อผ่านไป 20 วัน เราก็เริ่มใส่ปุ๋ย ครั้งที่ 2 และก็ทำเหมือนกันกับ ขั้นตอนที่ 6

9.เมื่อผักมีอายุ 30-32 วัน เราก็เริ่มเก็บได้

 


การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์

ประโยชน์การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์
       1. ใช้พื้นที่น้อย สามารถเลี้ยงได้ทุกที่
     2. ใช้เวลาเลี้ยงสั้น รุ่นละประมาณ 90 - 120 วัน
     3. ปลาดุกเป็นปลาที่อดทนต่อสภาพน้ำได้ดี
     4. สามารถเลี้ยง ดูแลรักษาได้สะดวก บริโภคในครัวเรือนและส่วนที่เหลือนำไปจำหน่ายได้
การเลือกสถานที่สร้างบ่อ
        1. การเลือกสถานที่สร้างบ่อ
          - บ่อควรอยู่ใกล้บ้าน หรือที่สามารถดูแลได้สะดวก
          - ควรอยู่ในร่มหรือมีหลังคา เพราะปลาดุกไม่ชอบแสงแดดจัด และป้องกันเศษใบไม้ลงสู่บ่อจะทำให้น้ำเสียได้
          - มีแหล่งน้ำสำหรับเปลี่ยนถ่ายน้ำได้สะดวกพอสมควร
       2. การสร้างบ่อ
          - บ่อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร สูงประมาณ 40 ซม.
           - ควรมี 2 บ่อ เพื่อใช้คัดขนาดปลาและสำรองน้ำไว้ถ่ายเท
          - ผนังและพื้นบ่อควรใส่สารกันรั่วซึม         
          - มีท่อระบายน้ำเพื่อช่วยในการถ่ายเทน้ำ

 











การเตรียมบ่อก่อนการเลี้ยง
       1. การเตรียมบ่อก่อนการเลี้ยงปลา ให้ตัดต้นกล้วยเป็นท่อใส่ลงไปในบ่อ เติมน้ำให้ท่วม แช่ไว้ 3 - 5 วัน เปลี่ยนต้นกล้วยแล้วแช่ไว้อี่ครั้งเพื่อให้หมดฤทธิ์ปูนขาว แล้วล้างบ่อให้สะอาด
       2. ตรวจสอบสภาพน้ำให้เป็นกลางหมดฤทธิ์ของปูน ถ้ามีตะใคร่น้ำเกาะติดที่ข้างบ่อปูนถึงจะดี
       3. น้ำที่จะใช้เลี้ยงคือน้ำจากคลอง หนอง บึง ต้องตรวจสอบว่ามีศัตรูปลาเข้ามาในบ่อด้วยหรือเปล่า
       4. น้ำฝน น้ำบาดาล น้ำประปา ควรพักน้ำไว้ประมาณ 3 - 5 วัน ก่อนนำมาใช้ได้
อัตราการปล่อยปลาและเลี้ยง
       1. ปลาเริ่มเลี้ยงความยาว 5 -7 ซม.
        2. อัตราการปล่อยลงเลี้ยงในถังซีเมนต์กลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร ถึก 40 ซม. ประมาณ 80 - 100 ตัว
       3. ก่อนปล่อยปลาลงเลี้ยงควรใส่เกลือแกลงประมาณ 2 - 3 ช้อนแกง เพื่อช่วยปรับสภาพน้ำ
       4. ระดับน้ำที่ปล่อยปลาครั้งแรก 10 -15 ซม.
       5. การปล่อยปลาควรปล่อยในตอนเช้า
       6. ควรนำถุงปลาที่จะปล่อยลงเลี้ยงแช่ในบ่อประมาณ 30 นาที เพื่อให้อุณหภูมิน้ำในถุงปลาและน้ำในบ่อไม่แตกต่างกันป้องกันปลาตายได้
       7. ควรมีวัสดุให้ปลาหลบซ่อน เช่นท่อพีวีซีตัดเป็นท่อนหรือกระบอกไม้ไผ่ เพราะปลาตัวใหญ่จะกวนปลาตัวเล็ก
        8. ควรมีการคัดขนาดปลา เมื่อมีอายุประมาณ 15 -20 วัน โดยนำตัวเล็กแยกไว้อีกบ่อหนึ่ง
       9. ควรมีวัสดุช่วยบังแสงแดด
การถ่ายน้ำ
       1. เริ่มเลี้ยงระดับน้ำลึก 10 - 15 ซม.
       2. เพิ่มระดับน้ำอีก 5 - 10 ซม. เมื่อเลี้ยงไปได้ 10 - 15 วัน
       3. ระดับน้ำสูงสุดไม่เกิน 40 ซม.
       4. ถ่ายเทน้ำทุก 5 -7 วัน
       5. ถ่ายเทน้ำแต่ละครั้งไม่ควรถ่ายจนหมด ถ่ายน้ำประมาณ 1 ส่วน 3 ของน้ำในบ่อ
       6. ขณะถ่ายเทน้ำไม่ควรรบกวนให้ปลาดุกตกใจเพราะปลาจะไม่กินอาหาร 2-3 วัน
อาหารและการให้อาหาร
       1. อาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดลอยน้ำ
          - ปล่อยปลาขนาด 5-7 ซม. ให้อาหารปลาดุกเล็ก
          - ปลาขนาด 7 ซม. ขึ้นไป ให้อาหารปลาดุกรุ่น
       2. อาหารสด เช่น เศษปลา ไส้ไก่ ปลวก โครงไก่ การให้อาหารควรให้อาหารวันละประมาณ 3 ครั้ง ในช่วงเช้า-เย็น ให้อาหารประมาณ 3-5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวปลาต่อวัน (หรือให้กินจนอิ่ม)
 
การป้องกันและรักษาโรคปลาดุก
       1. ไม่ปล่อยปลาหนาแน่นเกินไป
       2. ไม่ให้อาหารมากจนเกินไป
       3. รักษาคุณภาพน้ำให้เหมาะสม
       4. ถ่ายเทน้ำทุก 5-7 วัน
 
โรคปลาดุกและการรักษา
       1. โรคกระโหลกร้าว แก้ไขโดยผสมวิตามินซี 1 กรัมกับอาหาร 1 กิโลกรัม ให้ปลากินติดต่อกัน 15 วัน
       2. โรคจากเชื้อแบคทีเรียและแผลข้างตัว ใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น ออกซิเททราไซคลิน 1 กรัม ผสมอาหาร 1 กิโลกรัม ให้ปลากินติดต่อกัน 7-10 วัน
       3. หากมีปลาตายและเป็นแผลตามลำตัวให้ทำลายปลาตาย เช่น เผาหรือฝัง

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

การปลูกมันสำปะหลัง


1.การปรับปรุงดินให้เหมาะสมต่อการผลิตมันสำปะหลัง โดยการเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน  ได้แก่ การใช้ปุ๋ยจากมูลสัตว์หรือเปลือกมัน
จากโรงงานแป้ง    หรือปุ๋ยพืชสดจากปอเทืองและถั่วพร้า  ปลูกแล้วไถกลบในกรณีที่ดินถูกใช้งานมาเป็นเวลานาน     ทำให้เกิดชั้นดินดานใต้ดินจาก
รถแทรกเตอร์  ทำให้น้ำระบายลงใต้ดินได้ยากในฤดูฝน  เกิดปัญหาหัวเน่าจากน้ำท่วมขังในช่วงฤดูแล้ง มันสำปะหลังไม่สามารถใช้น้ำใต้ดินได้ ทำให้
ชะงักการเจริญเติบโต    ดังนั้นควรไถระเบิดชั้นดินดาน  หรือใช้หญ้าแฝกปลูกประมาณ  1 -2 ปี    เพราะหญ้าแฝกมีระบบรากลึก สามารถทำลายชั้น
ดินดานได้ อีกทั้งเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุให้กับดินด้วย

                2.  การเลือกฤดูปลูก  ควรเลือกวันปลูกเพื่อให้ช่วงอายุ 3-12 เดือน ของมันสำปะหลังได้รับฝนมากที่สุด เพราะผลผลิตขึ้นอยู่กับปริมาณ
น้ำฝนในช่วงอายุดังกล่าวโดยการปลูกมันสำปะหลัง  แบบอาศัยน้ำฝนจะให้ผลผลิตสูงสุดเมื่อปลูกในช่วงฤดูร้อน (กุมภาพันธ์-มีนาคม)  รองลงมาคือ
ต้นฤดูฝน (เมษายน –พฤษภาคม)  และปลายฤดูฝน(ตุลาคม-พฤศจิกายน)  แต่การปลูกในช่วงฤดูร้อน และปลายฤดูฝนมีข้อจำกัดของปริมาณน้ำฝน
ค่อนข้างน้อย มีผลต่อการงอกของท่อนพันธุ์


                3.  การเลือกพันธุ์มันสำปะหลัง ดินที่ใช้ปลูกมันสำปะหลัง  โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ชนิด  คือ ดินร่วมเหนียว และดินร่วมทราย ดินร่วน
เหนียว ถือว่าเป็นดินดี  ควรปลูกพันธุ์ระยอง 5 และระยอง 72 ส่วนดินร่วนทราย ควรปลูกพันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 ระยอง 90 ห้วยบง 60 และระยอง 9 เนื่องจากทั้ง 4 พันธุ์  เมื่อนำไปปลูกในดินร่วมเหนียว จะเจริญเติบโตในส่วนของลำต้นที่อยู่เหนือดินมากกกว่าลงหัว   หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าขึ้นต้น
หรือบ้าต้นเกินไป  ส่วนพันธุ์ระยอง 7  นั้นเหมาะทั้งดินร่วนเหนียว  และดินร่วนทรายที่มีความชื้นของดินดีตลอดช่วงของการเจริญเติบโต แต่ไม่เหมาะ
สมกับสภาพดินที่แห้งแล้ง

                4.  การเตรียมดินให้ลึก  หลักสำคัญคือ ต้องไถดะ  ครั้งแรกให้ลึกที่สุดด้วยผาล 3 หรือผาล 4 เท่านั้น   ควรไถดะในขณะที่ดินมีความชื้น
พอเหมาะ ห้ามไถดะด้วยผาล 7 เพราะจะไถได้ไม่ลึกการไถดะให้ลึกจะเพิ่มความสามารถในการเก็บกักความชื้นของดินได้มากขึ้น  และมันสำปะหลัง
ลงหัวได้ง่าย    จากนั้นตาหน้าดินเพื่อให้วัชพืชตายถ้าเป็นดินร่วนเหนียวควรไถแปรครั้งที่  สองด้วยผาล 7   แล้วยกร่องพร้อมปลูก  ส่วนดินร่วนทราย
ไม่จำเป็นต้องไถแปรครั้งที่สอง    สามารถยกร่องพร้อมปลูกได้เลย   ในกรณีที่เกษตรกรสามารถหาปุ๋ยอินทรีย์   หรือปุ๋ยหมักได้ควรหว่านก่อนไถดะ
ปุ๋ยหมักที่ใช้ได้ผลดี คือ ปุ๋ยหมักมูลไก่ 500 - 1,000 กิโลกรัมต่อไร่  หรือวัสดุอินทรีย์จากกากมันที่เหลือจากโรงงานแป้ง 2 ตันต่อไร่

                5.  การปลูกที่ถูกต้องต้นพันธุ์ที่ใช้ปลูกควรมีอายุ 10 -12 เดือน   จะให้ความงอกดีที่สุดโดยเลือกต้นพันธุ์ที่แข็งแรง   มีตาถี่ขนาดโตพอ
สมควร ต้องตัดท่อนพันธุ์ด้วยมีด ที่คมเพื่อมิให้ท่อนปลูกซ้ำ ขนาดยาวไม่ต่ำกว่า 20 เซนติเมตร   ปลูกปักตรงให้ลึก 2 ใน 3  ของความยาวท่อนปลูก
ในดินร่วนเหนียวควรใช้ระยะแถวกว้าง 1.20 เมตรระยะปลูกตั้งแต่ 0.50-1.00 เมตร  และในดินร่วนทราย ควรใช้ระยะแถวแคบ 0.80 เมตร ระยะปลูก
ตั้งแต่ 0.50-0.80 เมตร

                6.  การกำจัดวัชพืช ภายในช่วย 3 เดือนแรกถือว่าเป็นช่วงสำคัญของการปลูกมันสำปะหลัง ต้องดูแลรักษาให้มันสำปะหลังปลอดวัชพืช
ถ้าปล่อยให้วัชพืชแข่งขันกับมันสำปะหลังทำให้มันสำปะหลังแคระแกร็น มีผลให้ผลผลิตลดลงมาก  การกำจัดวัชพืชสามารถเลือกทำแบบผสมผสาน
โดยใช้จอบถาง  ใช้รถไถเดินไถระหว่างร่อง  ใช้สารเคมีประเภทคลุมก่อนวัชพืชงอก  หรือสารเคมีฆ่าหลังวัชพืชงอก   สารเคมีประเภทคลุมใช้ได้ผล
เฉพาะการปลูกต้นฤดูฝนเท่านั้น และห้ามใช้ไกลโพเสทในขณะที่มันสำปะหลังต้นเล็กอยู่ เพราะจะทำให้มันสำปะหลังชะงักการเจริญเติบโต

                7.  การใส่ปุ๋ยเคมี ควรเลือกใส่ปุ๋ยเคมีอัตราส่วน 2 : 1 : 2 ปุ๋ยเคมีที่แนะนำ คือ 15-7-18  หรือ 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ โดย
ใส่ปุ๋ย 2 ช้างลำต้นรัศมีพุ่มใบแล้วกลบ ใส่ปุ๋ยครั้งเดียวเมื่ออายุ 1 เดือน  หลังจากปลูกและต้องใส่ปุ๋ยเคมีในขณะที่ดินมีความชื้นและต้องกลบปุ๋ยด้วย
ถ้าไม่กลบปุ๋ย อาจสูญเสียปุ๋ยมากเกิน 50 เปอร์เซ็นต์สำหรับ   การเก็บเกี่ยวควรเลือกเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังในช่วงที่เหมาะสม    ตั้งแต่ 10-18 เดือน
ควรงดเว้นการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังในช่วงฝนแรก   คือ ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงมิถุนายน เนื่องจากมันสำปะหลังแตกใบอ่อนจะให้เปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ


                8.  การให้น้ำมันสำปะหลัง   ควรให้น้ำในช่วงฤดูแล้ง  เพื่อจะช่วยให้มันสำปะหลังมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง  หรือทำให้ใบร่วงน้อย
ที่สุด  ซึ่งจะมีผลทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นแต่ละเดือนอย่างก้าวกระโดด  ดังนั้น การปลูกมันสำปะหลังเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุด ต้องปลูกในช่วงฤดูฝน คือ
ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเมษายน   มีการให้น้ำในช่วงสองเดือนแรกของการเจริญเติบโตตามความจำเป็น และให้น้ำเต็มที่ในช่วงฤดูแล้ง 5 เดือน  ตั้งแต่
เดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม เก็บเกี่ยวที่อายุ 12 เดือน  ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว

หวด   ภาชนะนึ่งข้าวเหนียวจากไม้ไผ่
ความเป็นมา   จากวิถีชีวิตและความเป็นอยู่อันเรียบง่าย   ของประชาชนชาวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   ที่มีค่านิยมในการรับประทานข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก   อีกทั้งนักคิดค้นหาวิธีการประดิษฐ์   เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน   ด้วยการนำเอาวัสดุที่มีในท้องถิ่นราคาถูก   หาได้ง่าย   และใช้ภูมิปัญญา   ที่แฝงไว้ด้วยศิลปะที่น่าทึ่ง   เช่น   ศิลปะการจักสาน   การถักทอ   การปั้น   แกะสลัก   เป็นต้น   ทั้งนี้   การประดิษฐ์เครื่องใช้ต่าง ๆ   นั้นจะมีขั้นตอนต่อเนื่อง   ที่เน้นกระบวนการด้วย
หวดนึ่งข้าว   ก็เป็นเครื่องใช้ อย่างหนึ่ง   ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของชาวบ้านทุกวันจะต้องใช้หวดนึ่งข้าวเป็น ประจำ   การนึ่งข้าวเหนียวด้วยหวดนั้น   นับว่าเป็นวิธีง่ายและสะดวกที่สุด ดังนั้น   หวดนึ่งข้าวจึงเป็นเครื่องใช้   ที่ผู้ผลิตสามารถทำรายได้ให้กับครอบครัว   โดยทำเป็นอาชีพเสริมได้   เพราะนอกจากจะใช้หวดนึ่งข้าวแล้ว   ยังสามารถดัดแปลงหวดเป็นเครื่องใช้อย่างอื่นได้ด้วย   เช่น   ประดิษฐ์เป็นโคมไฟตกแต่งร้าน   ประดิษฐ์เป็นหน้ากากแสดงผีตาโขน   และสิ่งอื่นได้อีกมากมาย
บ้านสำราญ   ตำบลอาจสามารถ   อำเภอเมืองนครพนม   จังหวัดนครพนม   เป็นหมู่บ้านหนึ่ง   ที่มีการอนุรักษ์และสืบทอดการสวนหวดนึ่งข้าวมาหลายชั่วอายุคนแล้ว   ถึงแม้ว่าในปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางการผลิต   เครื่องมือ   เครื่องใช้ต่าง ๆ   มากก็ตาม   หวดนึ่งข้าวก็ยังเป็นที่นิยมกันอยู่
วัสดุอุปกรณ์การทำหวดนึ่งข้าว   พร้า   เลื่อย   ไม้ไผ่เฮี้ย   เศษผ้า
ขั้นเตรียมเส้นตอก
     ใช้พร้าตัดไม้ไผ่เฮี้ยจากกอ   โดยเลือกลำที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป
    ใช้เลื่อยตัวให้เป็นปล้อง ๆ โดยทิ้งส่วนที่เป็นข้อ   ความยาวของไม้ไผ่ที่เลื่อยนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของหวด   เช่น   ถ้าสานหวดใหญ่จะตัดไม้ให้ยาว   35 นิ้ว หวดขนาดกลาง   30   นิ้ว   หวดขนาดเล็ก 25   นิ้ว   เป็นต้น
     ใช้พร้าผ่าไม้ไผ่เป็นซีก (ชาวบ้านเรียก  กีบ) ขนกดความกว้างของซีกไม้ไผ่ หวดขนาใหญ่ กว่าง 0.5 ซม. หวดขนาดกลาง กว้าง 0.8 ซม. หวดขนาดเล็ก กว้าง 0.6 ซม.
    การจักส่วยตอก คือ การเหลาซีกไม้ไผ่เพื่อลบคมของซีกไม้ตรงกลางออก อล้วเหลาหัวท้ายของซีกไม้ให้เรียวลง
    การจักตอก คือ การเอาส่วนที่เป็น เนื้อไม้และเปลือกไม้ไผ่ (ติวไม้) แยกออกจากกันซีกหนึ่งจะจักเป็นเส้นตอกได้ ประมาณ 8-10   เส้นการจักตอกสำหรับสานหวด ควรหาสไม้ไผ่ที่ค่อนข้างอ่อน ความยาวของเส้นตอก ทำตามขนกดที่กล่าวข้างต้น
ขั้นนำเส้นตอกที่จักไว้ไปผึ่งแดดย่าง หรือรมควัน
     นำเส้นตอกที่ จักเสร็จแล้วผึ่งแดดให้แห้ง ถ้าเป็นฤดูก็ใช้วิธีรมควัน จะทำให้ไม่มีรา ขึ้น การผึ่งแดดใช้เวลา 2-3 วันถ้ารมควันก็ให้สังเกตดูสีของเส้นตอก เป็นสี น้ำตาล ก็ถือว่าใช้ได้
    เมื่อเส้นตอกผึ่งแดดหรือรมควันได้ที่แล้วมัดตอกเป็นมัด ๆ ตามความยาวของเส้นตอก แต่ชะขนาดไว้  
ขั้นการสานหวด
     การก่อหวดใช้ตอกเป็นเปลือกไผ่ (ติว ไม้) สานก่อรวมกันกับตอกธรรมดา วางในแนวตั้ง 4 เส้น แนวนอน 8 เส้น สานขัดเป็นลาย 3 โดยเริ่มจากจุดกึ่งกลาง สานไปข้างจุดกึ่ง สานไปข้างละ 13 ชัด
    รอบปลุกก้นหวด นำเอมหวดที่ก่อแล้วมาหักมุมที่จุดกึ่งกลางแล้ว สานลาย 3 ไป รอบ ๆ หวดจนหมดเส้นตอกทั้ง 2 ข้าง
    การสานหวด ถ้าสานความสูงของหวดยังไม่ได้ขนาด ก็สามารถใช้เส้นตอกเพิ่มความสูงได้แล้วสานเพิ่มเข้าไปอีกทั้ง2 ข้าง
    การไพหวด เมื่อความสูงได้ตามความต้องการแล้ว จะใช้ตอกไพ มาสานขัดหวดเป็นขัดลาย 3 โดยใช้ตอกไพ 3 เส้น สานลายขัดไล่กันไปให้รอบ แล้ว ตัดเส้นตอกที่ยาวเกินไปทิ้งเพื่อเตรียมม้วนในขั้นตอนสุดท้าย
    การม้วนหวดเริ่มจากด้านข้างของหวด ใช้นิ้วมือหักม้วนไปตามลาย ม้วนต่อกันไปเรื่อย ๆ จนถึงกึ่งกลายและเหน็บเส้นตอก 2 3 เส้น สุดท้ายลงไปตามลาย ของหวดแต่ละข้างก็จะได้หวดนึ่งข้าวที่สมบูรณ์
    การสานหวดนึ่งข้าว เป็นกระบวนการที่ ต่อเนื่อง ผสมสานกับงานศิลปะของชาวบ้านที่สามารถถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น แม้ ว่าสังคมปัจจุบันจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยก็ตาม เราก็ควรจะอนุรักษ์ หวดนึ่งข้าว อันเป็นมรดกภูมิปัญญาชาวบ้านไว้ ให้คงอยู่สืบต่อไป